[รีวิว] space sweepers bilibili : ซงจุงกิ กับหนังอวกาศโชว์ศักยภาพ โคเรียวูด

space sweepers bilibili เรื่องย่อ: 3 มนุษย์ กับอีก 1 หุ่นยนต์ จอมขบถชายขอบของสังคมที่รวมตัวกันเป็นสลัดอวกาศล่าขยะมีค่าที่ลอยเท้งเต้งอยู่นอกโลกในปี 2092 แต่ความซวยมาเยือนเมื่อพวกเขาดันไปเก็บอาวุธระเบิดมหาประลัยในรูปของเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเข้าเสียได้ แต่เหมือนส้มหล่นเพราะมีองค์กรก่อการร้ายพร้อมจะจ่ายให้ไม่อั้นเพื่อแลกตัวเด็กน้อยคืน สุดท้ายกลายเป็นสงครามสาดแสงเลเซอร์กลางอวกาศเพื่อแย่งตัวแบบมะรุมมะตุ้มทั้งฝ่ายคนดีและคนชั่ว โดยมีเหล่านักเก็บกวาดขยะอยู่ตรงกลางรอเลือกข้าง ว่าจะเอาเงินหรือไม่ก็คุณธรรม

หนัง space sweepers bilibili หนังไซไฟอวกาศเรื่องแรกของเกาหลี

space sweepers bilibili Space Sweepers ดูเหมือนจะได้ inspiration มาจากหนังไซไฟหลาย ๆ เรื่อง เช่น บรรยากาศบนโลกก็มีฟีลคล้ายกับ Blade Runner 2049 ส่วนบนอวกาศ ก็ให้ฟีลของ Guardians of the Galaxy กับ Star Wars เป็นต้น ซึ่งงานโปรดักชั่น ซีจี และวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ นี่ต้องชื่นชมนะ ทำออกมาได้ดีเกินคาดมาก

หนังเล่าเรื่องในอนาคต ปี 2092 ที่โลกเต็มไปด้วยอากาศที่เป็นมลพิษจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถหายใจได้โดยปราศจากอุปกรณ์ช่วยกรองการหายใจ (เชื่อว่า คนไทยทุกคนคงจินตนการโลกใบนั้นออกไม่ยาก) คนรวยหรือคนมีอำนาจเพียง 1% ของประชากรโลกได้ใช้เงินพาตัวเองย้ายขึ้นไปอยู่ยังสวนอีเดนยูโธเปียแห่งใหม่นอกโลก ครีเอทโดยบริษัท UTS ของ James Sullivan (Richard Armitage จาก The Hobbit) ในขณะที่ประชากรอีก 99% ต้องมีชีวิตอยู่บนโลกอย่างยากลำบาก บ้างก็อพยพไปเป็นแรงงานต่างด้าวบนอวกาศ ซึ่งหายใจหายคอสะดวกขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังคงกัดก้อนเกลือกิน และไร้หนทางที่จะลืมตาอ้าปากได้ เพราะค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำหรือรายได้สวนทางกับค่าครองชีพ ยังไม่นับภาษี ค่าปรับ หรือดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคาร ฯลฯ

วันหนึ่ง กลุ่มคนชายขอบของจักรวาล… ทีมภารโรงเก็บขยะอวกาศแห่งยาน Victory อันประกอบไปด้วย Captain Jang (Kim Tae-ri จาก The Handmaiden), Tae-Ho (Song Joong-Ki สามีแห่งจักรวาล จาก The Battleship Island), Tiger Park (Jin Seon-Kyu จาก Kingdom), และหุ่นดรอยด์ Bubs (Yoo Hae-Jin จาก A Taxi Driver) ได้บังเอิญเจอกับ. Dorothy (Park Ye-Rin) เด็กหญิงวัย 7 ขวบ ที่กำลังอยู่ในข่าวว่าเป็น “ระเบิดเดินได้ที่หายไป” พวกเขาจึงคิดจะเอาเด็กหญิงคนนี้ไปแลกกับเงินก้อนใหญ่ เพื่อที่จะได้มีเงินไปจ่ายหนี้ และทำตามเป้าหมายที่อยากทำ

ถ้ามองว่าการพิชิตอวกาศคือหมุดหมายของประเทศมหาอำนาจทางเทคโนโลยีและการทหาร การที่อุตสาหกรรมหนังของประเทศใดจะประกาศศักดาก็ต้องเป็นการสร้างหนังไซไฟอวกาศโชว์ความอลังการด้วยเช่นกัน

ไม่นับฮอลลีวูดที่เป็นยักษ์ใหญ่ของโลกและมีหนังอวกาศฟอร์มใหญ่ให้ชมแทบทุกปี พี่จีนเองก็เพิ่งประกาศศักดาไปกับหนัง The Wandering Earth (2019) เพื่อตีตื้นฝั่งตะวันตก ยิ่งฝั่งญี่ปุ่นที่สร้างหนังไซไฟแนวเอเชียมาก่อนชาวบ้านชาวช่อง ในช่วงใกล้ ๆ นี้ก็มีหนัง Space Battleship Yamato (2010) ออกมาผงาด ชนิดที่เอา สตีเวน ไทเลอร์ นักร้องนำวง Aerosmith มาร้องเพลงประกอบก็ทำมาแล้ว และ Space Sweepers เองก็พูดได้เต็มปากว่ามีความสำคัญในระดับหนังที่ว่ามาเช่นกัน

ออกแบบตัวละครให้กลิ่นแบบ Guardians of the Galaxy อยู่เหมือนกันนะ

หนังเป็นฝีมือของผู้กำกับ โจซองฮี ที่เคยมีผลงาน A Werewolf Boy (2012) ร่วมกับพระเอกดัง ซงจุนกิ เข้าฉายในบ้านเราเมื่อหลายปีก่อน ทว่าเอาจริงแล้วตัวเขาก็มีงานที่น่าจับตามองตั้งแต่ตอนทำหนังสั้นเรื่องแรก แล้วคว้ารางวัลจากเมืองคานส์กลับบ้านสำเร็จ ในหนัง Don’t Step Out of the House (2009)

นับเป็นอีกคนหนังของเกาหลีที่ช่วยขับอุตสาหกรรมได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะความทะเยอทะยานในการริเริ่มสร้าง Space Sweepers นี่ล่ะ คือหมุดหมายว่าหนังบันเทิงเกาหลีพร้อมจะเอา “โคเรียวูด” ไปชนฮอลลีวูดได้แล้วหรือยัง หลังจากด้านคุณภาพหนังรางวัลนั้นเกาหลีเพิ่งชนะออสการ์มาหมาด ๆ จากหนัง Parasite ของ บงจุนโฮ

นึกว่า ซงจุนกิ ไปเล่นหนังฮอลลีวูด

จุดที่หนังทำได้ดีตามมาตรฐาน อันจะขอกล่าวถึงก่อน คือการใส่รสปรุงที่เป็นเอกลักษณ์ของงานเกาหลีที่ว่า บทเด่นดราม่า เชิดหน้าชูตางานแสดง โดยการเลือกสร้างกลุ่มละครตัวนำที่น่าสนใจ ที่มีทั้งสาวแกร่งเกินหน้าผู้ชายอย่าง กัปตันจาง (คิมแทรี) นักขับยานหน้าตาดีแต่ยาจกที่มีปมอดีตสุดดราม่าอย่าง แทโฮ (ซงจุนกิ) ช่างเครื่องนักเลงหัวไม้แต่ใจดีอย่าง ไทเกอร์พัค (จินซอนคยู) และหุ่นยนต์ปากกวนอวัยวะอย่าง บั๊บ (ยูแฮจิน) ถึงแม้จะดูแตกต่างกันมาก แต่ก็สามารถเอามารวมกลุ่มกันได้เคมีลงตัวมาก ๆ และความเก่งคือเป็นการเลือกตัวแทนของคนชายขอบหลายแบบ ที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ คือการให้เจ้าหุ่นบั๊บแทนกลุ่มทรานส์เจนเดอร์ที่ไม่ค่อยได้เห็นในงานแมสของเกาหลีบ่อยนัก

และแต่ละตัวละครก็มีปมอดีต หรือปมดราม่าของตัวเองที่ไม่มากไม่น้อย พอให้ประคองไปกับเรื่องได้ไม่ไร้รสชาติ อย่างตัวพระเอกที่มีปมเรื่องลูกสาวก็สามารถใช้แฟลชแบ็กราว ๆ 5 นาที แต่เล่าได้จับใจคัดมาเน้น ๆ แล้วไม่ต้องยืดเยื้อ แต่เอามาใช้เกลาตัวละครแทโฮนี้ได้ทั้งเรื่องเลย พวกรายละเอียดในบทเล็ก ๆ น้อยแต่ได้ผลมากนี้ล่ะ ที่น่าสนใจ น่าเอาแบบอย่างมากทีเดียวสำหรับงานบันเทิงไทย

จุดที่ทำได้ดีเกินคาด ไปพอสมควร ก็คืองานโพรดักชันที่รู้อยู่แล้วว่าต้องจัดเต็ม ซีจี โมชันแคปเจอร์ เอฟเฟกต์ พร็อป ฉาก คอสตูม เพราะเห็นบางส่วนมาจากเทรลเลอร์แล้ว ทว่าหนังจริงก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนอ่อนข้อ เพราะตลอดความยาว 2 ชั่วโมงหน่อย ๆ หนังไม่มีดรอปมาตรฐานเลย มีหลุดเล็กน้อยบางช็อตเท่านั้นที่ยังหลอก ๆ ตา

การสร้างโลกที่เป็นฉากหลังของหนัง นั้นทำได้น่าจดจำ และน่าเชื่อ เป็นอีกจุดที่ทำได้ดี
แต่โดยรวมต้องยอมรับจริง ๆ ว่านี่คืองานเอาไปโม้เอาไปกระทบไหล่หนังบล็อกบัสเตอร์ได้เลยทีเดียว ขนาดว่าดูผ่านจอทีวียังรู้สึกได้ ไม่ต้องคิดว่าถ้าได้ฉายในโรงจะเพิ่มอรรถรสภาพกับเสียงไปได้อีกเท่าไร น่าเสียดายว่าพิษโควิด-19 ทำให้อดชมในโรง แต่ก็ดีในร้ายที่หนังได้ลงเน็ตฟลิกซ์ดูพร้อมกันทั่วโลกแทน

จุดที่คิดว่าน่าจะเฉย ๆ แล้วก็ตามคาด นั่นก็คือ เส้นเรื่องภาพรวมที่เดาไว้ว่าคงตามสูตรหนังแอ็กชันที่ไม่ได้ซับซ้อนแหวกแหกตาอะไร ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นหนังเล่าในแบบที่ซ้ำ ๆ กับพล็อตแนวนี้ในหนังเรื่องอื่น เราเดาจุดพลิก จุดหักมุม เดาตัวร้าย คนดีได้หมด แม้แต่มุกไฮไลต์ของเรื่องว่ากันตามตรงก็ไม่ได้เกินคาดอะไร

ริชาร์ด อาร์มิเทจ หรือ ธอริน จากหนัง The Hobbit เป็นหนึ่งในดาราฝั่งตะวันตกตัวหลักที่มาแจมในเรื่องนี้ จริง ๆ ก็อยากให้เล่าภูมิหลังที่มาของตัวละครนี้เยอะขึ้นอีกหน่อยเหมือนกันนะ

แต่มองในแง่ความฉลาดของการคุมงานใหญ่ที่ไม่คุ้นมือ ก็มองได้ว่าผู้กำกับเองก็ฉลาดที่จะเลือกยากเป็นบางอย่างไป เมื่อโพรดักชันเป็นโจทย์ใหญ่ยากมากแล้วจะไปดึงความซับซ้อนการเล่าเรื่องมาให้ลำบากอีก หนังจะออกทะเลเละเทะกันไปได้ แต่ก็นั่นล่ะพอว่าตามสูตรล้วน หนังความยาว 2 ชั่วโมงเลยมีหลายช่วงที่เฉย ๆ กับมันไปด้วย ยังดีว่ามุกชวนยิ้ม มุกดราม่ายังทำงานอยู่ตลอด หนังเลยไม่จืดทางอารมณ์

จุดที่คิดว่ายังทำได้ไม่ดี ก็มาจากความยาวหนัง 2 ชั่วโมงกว่านี่ล่ะ สังเกตได้ว่าหนังมีบางฉากที่ลากเกินจำเป็น เข้าใจเองว่าผู้กำกับคงออกอาการเสียดายของ เพราะลงทุนไปเยอะ เลยอัดใส่ฉากที่ถ่ายเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งถ้าเป็นมาตรฐานหนังสเกลนี้แนวนี้ของตะวันตก น่าจะหั่นฉากลงไปอีกเพื่อความลีนของหนัง ได้ความกลมกล่อมพอดีกว่านี้

ในขณะที่ฉากเยอะไป ช็อตที่ประกอบสร้างฉากเองก็ดูน้อยไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าถ่ายมาน้อย แต่ให้เวลากับมันน้อย ชัดมากในฉากแอ็กชันที่ตัดไว แต่ไม่ได้ไวเพื่อผลทางอารมณ์เร้าใจ แต่ไวเพื่ออัดช็อตที่ถ่าย ๆ มาให้ได้เยอะ ๆ ให้คุ้ม ๆ เลยเหลือเป็นช็อตแว้บ ๆ ไว ๆ เพื่อให้หนังไม่ยาวเกิน กลายเป็นบางฉากดูไม่ทันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไปเสียอย่างนั้น แต่โดยรวมก็เสียจริง ๆ แค่บางฉากสั้น ๆ โดยรวมถือว่าการเล่ายังเคลียร์อยู่มาก

ว่าไปตัวละครนี้ก็ได้แรงบันดาลใจจาก ฮาน โซโล มาไม่น้อยเหมือนกันนะ
โดยสรุป อาจยังไม่ใช่หนังที่ชื่นชมได้แบบอวยสุดลิ่ม แต่เราได้เห็นความสามารถศักยภาพของหนังเกาหลีว่าไปฟัดกับโลกได้จริง ๆ ไม่ว่าจะตระกูลหนังล่ารางวัล หรือตอนนี้หนังบันเทิงซีจีแบบเต็มสูบ ที่ขนาดว่าลองตั้งไข่ในเรื่องนี้ ยังทรงดีมาก ๆ ถ้าอุตสาหกรรมหนังเกาหลีต่อยอดได้จริงจัง เราจะเห็นหนังไซไฟ หนังอวกาศที่ดราม่าเข้ม ๆ สไตล์เกาหลี เต็มทั้งตา ตรึงทั้งใจ

เมื่อนั้นล่ะหนังเกาหลีจะเบียดขึ้นแนวหน้าของหนังตระกูลไซไฟ ที่มหาอำนาจภาพยนตร์ฝั่งตะวันตกครองที่นั่งมายาวนานก็เป็นได้ สำหรับเรื่องนี้ หนังสนุกดี ชมได้เพลินมาก ๆ ครับ space sweepers bilibili

บทความที่น่าสนใจ

หัวข้อน่าสนใจ